“ยาฝังคุมกำเนิด” เป็นอีกหนึ่งวิธีของการคุมกำเนิดที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ด้วยความที่โลกสมัยนี้หมุนไว เด็กๆ ก็เหมือนจะโตเกินวัยตามไปด้วย เราก็มักจะได้เห็นคุณแม่วัยใสเยอะขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็กลายมาเป็นปัญหาของสังคม เพราะถ้าหากเราท้องในขณะที่ยังไม่พร้อม หรือท้องในวัยเรียน ปัญหาที่ตามมาอย่างแรกก็คือ เราไม่มีกำลังในการเลี้ยงลูกที่กำลังจะเกิดมาอย่างแน่นอน สุดท้ายภาระเหล่านี้ก็ต้องตกไปอยู่ที่พ่อ-แม่ของเรา และนอกจากนั้นก็ยังมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
ยาฝังคุมกำเนิด วิธีป้องกันท้องก่อนวัยอันควร
ซึ่งเราเชื่อได้เลยว่า ยังมีวัยรุ่นอีกหลายคน ที่ไม่รู้ถึงวิธีการป้องกันหรือวิธีการคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง เพราะบางคนอาจจะคิดว่าการซื้อยาคุมฉุกเฉินมากินเองเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นวิธีที่ผิดมากเลย ดังนั้น วันนี้ แคมปัส-สตาร์ ก็มีอีกหนึ่งวิธีในการคุมกำเนิดที่ดีกว่าการกินยาคุมกำเนิดมาฝากน้องๆ กันด้วย นั่นก็คือ “ยาฝังคุมกำเนิด” ที่สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3-5 ปี แถมวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ยังสามารถเข้ารับบริการฝังยาคุมได้ฟรีได้ที่โรงพยาบาลของรัฐได้อีกด้วย อย่างอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับยาฝังคุมกำเนิดกันก่อนเลย
ยาฝังคุมกำเนิดคืออะไร?
ยาฝังคุมกำเนิด หรือยาคุมกำเนิดแบบฝัง (Contraceptive implant หรือ Implantable contraception) เป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวชนิดหนึ่ง โดยการฝังฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำเป็นแท่งเล็กๆ เข้าไปที่ใต้ผิวหนังใต้ท้องแขนด้านที่ไม่ถนัด ซึ่งฮอร์โมนนี้จะค่อยๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งยาเข้าสู่ร่างกาย และไปทำการยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ของผู้หญิง ทำให้ไม่มีการตกไข่ สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้
ยาฝังคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร?
ยาฝังคุมกำเนิดจะประกอบด้วย ฮอร์โมนเพศหญิงโปรเจสติน (Progestin,ฮอร์โมนเพศหญิงสังเคราะห์) เพียงชนิดเดียว จึงไม่มีผลข้างเคียงของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เหมือนในยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม
- ในยาฝังคุมกำเนิดที่ชื่อ Implanon® จะเป็นฮอร์โมน Etonogestrel 68 มิลลิกรัม แล้วค่อยๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 70-60 ไมโครกรัมเท่านั้น
- ส่วน Jadelle® จะเป็นฮอร์โมน Levonorgestrel 75 มก. ปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 100-40 ไมโครกรัม (ระดับฮอร์โมนจะสูงในช่วงแรก และค่อยๆลดลงจนคงที่ในระยะเวลาต่อมา)
กลไกการป้องกันการคุมกำเนิด คือ ฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาจากแท่งยาฝัง จะไปมีผลทำให้ฟองไข่ไม่พัฒนา จึงไม่สามารถโตต่อไปจนตกไข่ได้ ทำให้ไม่มีไข่ที่จะรอผสมกับเชื้ออสุจิ จึงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ นอกจากนี้ฮอร์โมนนี้ยังทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น ทำให้เชื้ออสุจิว่ายผ่านเข้าไปได้ยาก จึงช่วยลดโอกาสเกิดการผสมกับไข่ ยาฝังคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดดีมาก โอกาสการตั้งครรภ์น้อยกว่า 1 ใน 100 ของผู้หญิงที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิด
ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง?
- สะดวกสบาย เมื่อไปรับการคุมกำเนิดวิธีนี้ สามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี (แล้วแต่ชนิดของยา)
- ไม่ต้องรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดทุกวัน ลดโอกาสลืมกินยา หรือต้องไปฉีดยาคุม กำเนิดทุก 3 เดือน ลดโอกาสฉีดยาคลาดเคลื่อนไม่ตรงกำหนด
- ไม่มีผลข้างเคียงของฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เป็นฝ้า
- เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง
ข้อเสียของยาฝังคุมกำเนิด มีอะไรบ้าง?
- ประจำเดือนกะปริบกะปรอย พบมากที่สุด หรือไม่มีประจำเดือน หรือเกิดภาวะขาดประจำเดือน
- อาจมีน้ำหนักตัวขึ้น
- ปวดแขนบริเวณที่ฝังแท่งยาคุมกำเนิด
- แผลที่ฝังยาเกิดการอักเสบ หรือมีรอยแผลเป็น
- อารมณ์แปรปรวน
- ปวด/เจ็บเต้านม
- มีโอกาสตั้งครรภ์นอกมดลูก (ท้องนอกมดลูก) หากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น
- อาจเกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
ข้อควรรู้ ผู้หญิงที่ไม่สามารถใช้ยาฝังคุมกำเนิดได้?
- คนที่เป็นโรคตับ เพราะผลข้างเคียงของยาฝังคุมกำเนิด อาจส่งผลให้เกิดตับอักเสบเพิ่มขึ้นได้
- มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม เพราะยาฝังคุมกำเนิดอาจกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งลุกลามแพร่กระจาย
- มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะยาฝังคุมกำเนิดอาจกระตุ้นให้เลือดออกมากขึ้น
- มีภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก เพราะยาฝังคุมกำเนิดอาจรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือด ซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวในภาวะเลือดออก
ใครที่สามารถฝังยาคุมกำเนิดได้บ้าง?
โครงการฝังยาคุมกำเนิด สำหรับวัยรุ่นหญิงที่มีอายุตั้งแต่ 10-20 ปี สามารถเข้ารับการฝังยาคุมกำเนิดฟรีได้ที่โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ ตาม พ.ร.บ. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นปี 2559 ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โทร. 1330
————————-
ข้อมูลจาก : haamor.com, www.egov.go.th