งดบ้างไม่ได้เลย? 6 สิ่ง ที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย เมื่อคุณไม่ได้ “เมคเลิฟ” มานาน

พอเมคเลิฟบ่อยๆ ก็จะหาว่าติด แต่ถ้าไม่มีเลยก็จะเป็นปัญหาอีก เฮ้อ ร่างกายคนเราก็นะ เอาเป็นว่า ถ้าไม่อยากเจอปัญหาเหล่านี้ก็อย่าไปมีเซ็กส์ซะตั้งแต่แรก จบ! วันนี้ Campus-Star จะพาคุณไปดู งดบ้างไม่ได้เลย? 6 สิ่ง ที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย เมื่อคุณไม่ได้ “เมคเลิฟ” มานาน!! บางข้อนี่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้นได้

สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายเมื่อคุณขาดการเมคเลิฟ…

1. จินตนาการล้ำเลิศ

เชื่อเถอะว่า หลังจากที่คุณอยู่คนเดียวซะเปล่าวเปลี่ยวมานาน พอนึกถึงเรื่องเสียวเรื่องเซ็กส์ขึ้นมาคุณก็จะเหมือนกลับเป็นเด็กวัยรุ่นอีกครั้ง ที่ไม่ว่ามีอะไรมากระทบนิดหน่อยก็ก่อให้เกิดอารมณ์ได้ทั้งนั้น แค่นึกถึงภาพดาราที่หน้าตาดี ตรงสเปค ก็สามารถทำให้อารมณ์อย่างว่าพุงสูงปรีดขึ้นมาแล้ว

2. เครียด

ข้อนี้มันเป็นธรรมดาแหละ เพราะว่า เซ็กส์ก็คือ วิธีที่ใช้ระบายความเครียดอย่างหนึ่ง แต่เมื่อตอนนี้คุณไม่ได้เมคเลิฟกับใครเลย ความเครียดจึงถูกสะสมไม่ได้ระบายออกไป

3. ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เอ้านี่เรื่องจริงนะ งานวิจัยของฝรั่งเขาบอกมาว่า เมื่อคุณมีเซ็กส์นั้นร่างกายก็เหมือนกับได้บรูซใหม่ ซึ่งการบรูซของร่างกายในแต่ล่ะครั้งมันก็จะช่วยกำจัดเชื้อโรคและแบคทีเรียต่างๆ ทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น ไม่ป่วยง่าย เห็นมั้ยล่ะว่า การเมคเลิฟน่ะมีประโยชน์ขนาดไหน

4. ผนังช่องคลอดอ่อน

ในกรณีที่ผู้หญิงจะเกิดอาการแบบนี้ก็เนื่องจาก หนึ่งคือ คุณไม่ได้ร่วมรักมานาน ช่องคลอดไม่มีน้ำไปหล่อเลี้ยง สองก็คือ คุณไม่มีอารมณ์ร่วมในการเมคเลิฟครั้งนั้น อาการเหล่านี้อาจจะทำให้เมื่อวันหนึ่งถ้าคุณเกิดมีเซ็กส์ขึ้นมา ช่องคลอดอาจจะมีเลือดติดออกมาได้ เพราะงั้นก็ช่วยตัวเองบ้างก็ได้ มันไม่ได้เสียหายหนิ

5. เสี่ยงต่อการเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ

ข้อนี้ก็มาจากวิจัยของฝรั่งเขาเหมือนกัน การที่คุณไม่ได้เมคเลิฟมานานแล้ววันหนึ่งคุณกลับมาทำอีกครั้งน่ะ มันก็เหมือนผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกนั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกจะสกปรกไปซะหมด ถ้าไม่รักษาความสะอาดสะหน่อยอาจจะทำให้โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบถามหาได้นะ

6. น้ำหนักขึ้น

ใครว่าเซ็กส์ดีต่อใจอย่างเดียว มันยังดีต่อสุขภาพด้วย อย่างน้อยๆ มันก็ถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งแหละน่า รู้มั้ยว่าแค่การจูบก็สามารถเบิร์นแคลอรี่ไปได้ถึง 68 แคลเลยนะ แล้วคิดดูสิว่าถ้าคุณเมคเลิฟน่ะ มันจะสามารถเบิร์นแคลไปได้มากถึงขนาดไหน

ที่มา http://www.thelist.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง