อากาศในไทยที่ดูจะร้อนขึ้นทุกปีอาจทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายตัวจนไม่อยากออกไปไหน แต่รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคืออันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลต หรือที่เรียกสั้นๆ ว่ารังสียูวี โดยดัชนีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV Index) ในประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ที่ 11-12 ซึ่งเป็นระดับขั้นสูงสุดและส่งผลเสียต่อผิวหนังอย่างมาก สามารถก่อให้เกิดจุดด่างดำ ริ้วรอยบนผิวหนังตามร่างกาย ซึ่งถ้าหากไม่ปกป้องผิวให้ดี ก็อาจจะเกิดการสะสมของรังสียูวี และพัฒนาความรุนแรง จนกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจก่อนว่ารังสียูวีมีอยู่ที่ไหนบ้าง และเราจะสามารถป้องกันตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างไร อ่าน วิธีป้องกันรังสียูวี อย่างมีประสิทธิภาพ ที่นี่ค่ะ
วิธีป้องกันรังสียูวี อย่างมีประสิทธิภาพ
รังสียูวี มี 3 ประเภท
รังสียูวีนั้น มีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ รังสียูวีเอ (UVA) ยูวีบี (UVB) และ ยูวีซี (UVC) แต่ที่เราคุ้นหูคือรังสียูวีเอและยูวีบี เนื่องจากรังสียูวีซีไม่สามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศโลกได้ จึงไม่สามารถทะลุมาถึงพื้นผิวโลกเพื่อทำอันตรายต่อผิวของเรา
ในขณะที่รังสียูวีเอสามารถทะลุผ่านถึงผิวหนังชั้นกลาง ทำให้เกิดฝ้าและริ้วรอยหากเผชิญกับรังสีนี้เป็นเวลานาน โดยที่รังสียูวีบีส่งผลกระทบต่อผิวหนังชั้นนอกหรือชั้นหนังกำพร้า ทำให้ผิวคล้ำและเกิดจุดด่างดำ และเป็นที่ทราบกันดีว่ารังสียูวีนั้นสามารถนำไปสู่การเกิดมะเร็งผิวหนังได้
ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับรังสียูวี
เมื่อทราบถึงผลกระทบของรังสียูวีที่มีต่อผิวหนังของเราแล้ว หลายคนคงจะปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดดหรือหยิบร่มมากางก่อนที่จะออกแดด โดยเข้าใจว่าหากอยู่ในที่ร่มแล้วก็ไม่จำเป็นต้องป้องกันแสงแดดแต่อย่างใด แต่ที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบคือ รังสียูวีสามารถทะลุผ่านผนังอาคารเข้ามาได้ถึง 80% และการได้รับรังสียูวีเพียงเล็กน้อยในแต่ละวันก็สามารถสะสมจนก่ออันตรายร้ายแรงต่อผิวของเราได้ ในเมื่อเราทุกคนอยู่ในประเทศไทยที่มีดัชนีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV Index) เฉลี่ยที่ 11-12 ซึ่งอยู่ในระดับขั้นสูงสุด การป้องกันแดดจึงจำเป็นในทุกที่ทุกเวลาสำหรับทุกเพศทุกวัย
วิธีในการป้องกันรังสียูวีนั้น นอกจากการใช้ครีมกันแดดที่หลายคนคุ้นเคยกันดีแล้ว ปัจจุบันนี้ยังมี เสื้อกันยูวี ให้เลือกสวมใส่อีกด้วยซึ่งเราจะพูดถึงในลำดับต่อไป
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเลือกครีมกันแดด
สำหรับการทาครีมกันแดดนั้น หลายคนอาจรู้สึกว่ายุ่งยากในการทาและเหนอะตัว มากไปกว่านั้น รู้หรือไม่ว่า ครีมกันแดดจะมีประสิทธิภาพแค่เพียงในชั่วโมงแรกๆ ที่ทา ทำให้ต้องทาครีมซ้ำ เพื่อคงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวี ดังนั้นเมื่อพูดถึงการเลือกใช้ครีมกันแดดแล้ว ต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพของสารกันแดดด้วย ซึ่งเกณฑ์ในการวัดประสิทธิภาพของสารกันแดดนั้น มีอยู่สองเกณฑ์ได้แก่ SPF และ PA
Sun Protection Factor (SPF)
Sun Protection Factor (SPF) หรือ ค่า SPF จะบอกถึงระยะเวลาในการที่เราอยู่กลางแจ้งได้นานแค่ไหน โดยที่ผิวของเราไม่มีอาการใดๆ เช่น ถ้าปกติเราโดนแดด 20 นาที ผิวจะเริ่มไหม้ เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มี SPF 15 จะสามารถปกป้องผิวของเราจากแดดได้อีก 15 เท่า คือ 15×20 = 300 นาที หรือ 5 ชั่วโมง ผิวจึงจะเริ่มไหม้นั่นเอง นอกจากนี้ SPF ยังสามารถบอกปริมาณการดูดซับรังสียูวีบีของครีมกันแดดได้อีกด้วย โดยที่ SPF 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3% และ SPF 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98% เรียกได้ว่าค่า SPF ยิ่งสูงก็ยิ่งดูดซับรังสีได้มากขึ้นนั่นเอง
Protection Grade of UVA (PA)
ส่วน Protection Grade of UVA (PA) คือ ค่าวัดประสิทธิภาพการป้องกันรังสียูวีเอ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ PA+, PA++ และ PA+++ โดยที่ PA+++ หมายถึงมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีเอสูงสุด
Ultraviolet Protection Factor (UPF)
นอกจากค่า SPF และ PA แล้ว ยังมีค่า Ultraviolet Protection Factor (UPF) ที่หลายๆ คนควรทราบ โดยค่า UPF นี้เป็นดัชนีที่ใช้กับผลิตภัณฑ์สิ่งทอ หรือเสื้อผ้า เพื่อชี้ค่าความสามารถในการป้องกันรังสียูวี ยิ่งมีค่า UPF สูง ก็ยิ่งป้องกันรังสียูวีได้นานขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น เสื้อผ้าที่มีค่า UPF 40 เมื่อเทียบกับผิวหนังที่ไม่มีสิ่งป้องกันแล้ว ระยะเวลาที่ผิวจะถูกแดดเผาจะนานกว่า 40 เท่า หมายความว่าในปกติเมื่อผิวของเราโดนแดดแรงๆ ประมาณ 15 นาทีผิวจะเริ่มไหม้ หากใส่เสื้อกันยูวีที่มีค่า UPF 40 จะทำให้ป้องกันผิวได้นานถึง 600 นาที หรือ 10 ชั่วโมง นั่นเอง
การป้องกันรังสียูวีด้วยเสื้อผ้า
ตามที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ว่า นอกจากการทาครีมกันแดดแล้ว ยังมีวิธีการที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดด คือ การสวมใส่เครื่องแต่งกายป้องกันยูวีที่มีค่า UPF ซึ่งวิธีนี้สะดวก อีกทั้งสามารถกันรังสียูวีได้ทั้งยูวีเอและยูวีบีตั้งแต่วินาทีแรกที่สวมใส่ โดยยูนิโคล่ ความสนใจและเดินหน้า บุกเบิกโซลูชั่นเครื่องแต่งกายป้องกันรังสียูวี สำหรับเครื่องแต่งกายในกลุ่มป้องกันรังสียูวีนั้น ยูนิโคล่ได้นำเทคนิคพิเศษมาใช้ในการผลิต ได้แก่ 1. การผสมผสานวัสดุที่ป้องกันรังสียูวีเข้าไปในไฟเบอร์ของเนื้อผ้าในช่วงของการย้อม เปลี่ยนโครงสร้างของเส้นใยผ้าทำให้เนื้อผ้าสามารถซึมซับและสะท้อนรังสียูวีได้ และ 2. เทคนิคการถักทอของเส้นด้ายแบบพิเศษ ให้แน่นเพียงพอที่จะสะท้อนรังสียูวีออก
จึงมั่นใจได้ว่า เสื้อผ้าในกลุ่มป้องกันรังสียูวีของยูนิโคล่มีประสิทธิภาพในการปกป้องสูงสุด อีกทั้งยังมีเนื้อผ้าบางเบา สวมใส่สบาย ด้วยเทคนิคพิเศษในการผลิตพร้อมการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความต้องการในชีวิตประจำวัน ด้านการปกป้องผิวจากแสงแดด
ขอบคุณเนื้อหา ยูนิโคล่