อัปเดตรายชื่อ “เชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่สำคัญ” พฤติกรรมเสี่ยงที่เร่งให้เชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น – สยส.

เชื้อดื้อยา คือ ภาวะที่เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือปรสิต ปรับตัวจนยาที่เคยใช้ได้ผลกลับไม่ได้ผลอีกต่อไป แม้บางส่วนจะเกิดจากวิวัฒนาการตามธรรมชาติของเชื้อเอง แต่สิ่งที่เร่งให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้น คือ “พฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม” เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น หรือไม่ถูกวิธี — ไม่ว่าจะเป็นการซื้อยามากินเอง หยุดยาเมื่ออาการดีขึ้น หรือเลือกใช้ยาที่ออกฤทธิ์กว้างเกินจำเป็น ผลที่ตามมาคือการรักษายากขึ้น ต้องใช้ยาแรงขึ้น จากที่เคยมียากิน อาจต้องเปลี่ยนเป็นยาฉีด และในบางกรณีเชื้อบางชนิดยังพัฒนาเป็น“ซูเปอร์บัก” ที่แทบไม่มียารักษาได้เลย

เมื่อยาที่เคยช่วยชีวิต กำลังหมดฤทธิ์สู้เชื้อโรค

ผศ. นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างความเข้มแข็งประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) กล่าวว่า ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกมาอย่างยาวนาน โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้มาโดยตลอด และได้ออกยุทธศาสตร์โลกฉบับแรก “Global Strategy for Containment of Antimicrobial Resistance” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยา อย่างเป็นระบบ

แต่สถานการณ์ยังคงเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นหนึ่งใน 10 ภัยคุกคามสุขภาพระดับโลก สะท้อนว่า ถึงเวลาที่สังคมต้องถูกปลุกให้รู้ และตระหนักถึงความจริงของเชื้อดื้อยา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ในปีเดียวกัน วารสาร The Lancet รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกกว่า 1.27 ล้านคนต่อปีจากการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา ตัวเลขนี้ตอกย้ำว่า ปัญหาเชื้อดื้อยาไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งอีกต่อไป แต่กำลังแพร่กระจายครอบคลุมทุกมุมโลก รวมถึงประเทศไทย และหากไม่เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) จำนวนผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาอาจพุ่งสูงถึง 10 ล้านคนต่อปี (Review on Antimicrobial Resistance โดย Jim O’Neill Commission, ค.ศ. 2014)
สถานการณ์เชื้อดื้อยาในประเทศไทย น่าวิตกไม่แพ้ชาติใดในโลก

ประเทศไทยกำลังอยู่ท่ามกลางวิกฤตเชื้อดื้อยาที่ขยายวงกว้างขึ้นทุกปี ข้อมูลจากวารสารวิจัยระบบสาธารณสุข ปี 2553 (ค.ศ. 2010) ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อดื้อยาราว 88,000 คนต่อปี และเสียชีวิตมากถึง 38,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 104 คน มากกว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในปี 2567 (ค.ศ. 2024) ซึ่งมีประมาณ 17,447 คน หรือเฉลี่ยวันละ 48 คน

กล่าวได้ว่า เชื้อดื้อยาคร่าชีวิตคนไทยมากกว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่าเท่าตัว โดยเมื่อ 15 ปีก่อน สถิติชี้ว่า ทุก 15 นาที มีคนไทย 1 คนเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาเมื่อเชื้อดื้อยายิ่งพัฒนาและแพร่กระจายรวดเร็วขึ้นทุกปี เราอาจกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคที่ ‘เพียงไม่กี่วินาที จะมีชีวิตที่ต้องสูญเสียจากเชื้อดื้อยา’ หากยังไม่เร่งสร้างความตระหนักและร่วมมือกันแก้ไขอย่างจริงจัง ปัญหานี้ยังส่งผลให้ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้นกว่า 3.24 ล้านวันต่อปี เพิ่มภาระให้บุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลทั่วประเทศ และสะท้อนว่าปัญหาเชื้อดื้อยาไม่ได้กระทบแต่ผู้ป่วยรายบุคคล แต่กำลังบั่นทอนศักยภาพของระบบสาธารณสุขไทยโดยรวม

WHO เปิดลิสต์แบคทีเรียตัวร้าย อันตรายระดับโลก

ผศ. นพ.พิสนธิ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้อัปเดตรายชื่อ “เชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่สำคัญ” หรือ The WHO Bacterial Priority Pathogens List 2024 เพื่อใช้วางแผนเฝ้าระวัง ป้องกันการระบาด และพัฒนายาใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ เชื้อดื้อยาระดับวิกฤติ (Critical Priority) เชื้อดื้อยาระดับสูง (High Priority) และเชื้อที่ต้องจับตา (Medium Priority) โดยเชื้อดื้อยาระดับวิกฤติ เป็นกลุ่มที่อันตรายที่สุด เพราะยาที่ใช้รักษากำลังทยอยหมดไป เหลือเพียงไม่กี่ชนิด หรือบางครั้งไม่มียาใดเลยที่ยังได้ผล

ส่วนอีกระดับคือเชื้อดื้อยาระดับสูง มีแนวโน้มดื้อยามากขึ้น ทำให้รักษาได้ยาก ทั้งสองกลุ่มนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก ทั้งในด้านการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตเดิมทีเชื้อเหล่านี้มักพบในสถานพยาบาล โดยเฉพาะห้อง ICU ที่มีผู้ป่วยอาการหนักและต้องใช้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่องแต่ปัจจุบันกลับพบมากขึ้นในชุมชน เชื้อดื้อยาระดับวิกฤติบางชนิดเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในกระแสเลือด เช่น Acinetobacter baumannii และเชื้อในกลุ่ม Enterobacteriaceae อย่าง Escherichia coli ซึ่งดื้อยา carbapenem ที่เป็นยาปฏิชีวนะด่านสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรง การติดเชื้อในกลุ่มนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 30–50 เปอร์เซ็นต์

ส่วนเชื้อในกลุ่มที่ต้องจับตา แม้จะยังไม่รุนแรงเท่ากลุ่มแรก แต่ก็ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะเป็นสาเหตุของโรคในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจและหู คอ จมูก เช่น Streptococcus pneumoniae หรือ Pneumococcus และ Haemophilus influenzae ซึ่งทำให้เกิดโรคปอดอักเสบหูชั้นกลางอักเสบ และเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเด็ก

ยาที่ใช้กับแบคทีเรียเหล่านี้จึงเป็น “ยาปฏิชีวนะที่มีความสำคัญสูงต่อการแพทย์ในมนุษย์” (Critically Important Antimicrobials for Human Medicine: CIA) ซึ่งควรถูกจำกัดการใช้ เพื่อรักษาประสิทธิภาพของยาให้คงอยู่ได้ยาวนานที่สุด

เช็กลิสต์พฤติกรรมเสี่ยง ที่เร่งให้เชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น

แม้สาเหตุของเชื้อดื้อยาจะมีหลายปัจจัย แต่ต้นเหตุสำคัญประการหนึ่งมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะผิดวิธี จากความเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือความเคยชินในชีวิตประจำวัน ซึ่งเราทุกคนสามารถช่วยหยุดเชื้อดื้อยาได้ เพียงหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ คือ

1. ใช้ยาปฏิชีวนะเอง โดยไม่ปรึกษาหรือขอคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์หรือเภสัชกร

2. ใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ เช่นกินทุกครั้งที่มีอาการไม่สบาย เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ หรือท้องเสีย

3. ใช้ยาไม่ตรงกับเชื้อก่อโรค คือไม่แยกแยะว่าเป็นโรคจากแบคทีเรียหรือไวรัส

4. ใช้ยาแรงเพราะอยากหายเร็ว โดยที่ควรใช้เพียงยาที่ออกฤทธิ์แคบ

5. ใช้ยาไม่ครบคอร์ส เพราะคิดว่าหายแล้ว หรือแบ่งยาให้คนอื่น และ

6. ใช้ไม่ถูกวิธี เช่นกินยาไม่ตรงเวลา หรือลืมกินยาเป็นบางมื้อ ซึ่งทำให้ระดับยาในร่างกายต่ำกว่าที่จะฆ่าเชื้อได้ เชื้อที่ยังถูกกำจัดไม่หมดจึงมีเวลาฟื้นตัว แข็งแรงขึ้น และค่อย ๆ ปรับตัวจนดื้อยาได้ในที่สุด

หยุดเชื้อดื้อยา เริ่มที่ทุกคน

ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นภัยคุกคามสุขภาพระดับโลกที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง การคิดค้นยาและวัคซีนใหม่ ๆ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย แต่เพียงเท่านั้นยังไม่พอ หากไม่แก้ที่ต้นเหตุสำคัญ คือการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม ทางออกที่อยู่ในมือของทุกคนจึงอยู่ที่การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบ ทั้งประชาชนที่ใช้ยา ผู้สั่งจ่ายยา ได้แก่ แพทย์ เภสัชกรร้านยา ทันตแพทย์ และพยาบาลเวชปฏิบัติ เมื่อทุกคนร่วมกัน “ใช้ยาอย่างสมเหตุผล” พร้อมกับดูแลสุขอนามัยและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ รวมทั้งรับวัคซีนตามคำแนะนำ เราจะสามารถลดการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาได้ตั้งแต่ต้นทาง

การแก้ปัญหาเชื้อดื้อยา ต้องขับเคลื่อนทั้งระบบ

การรับมือกับปัญหาเชื้อดื้อยาไม่อาจพึ่งพาเพียงประชาชนหรือบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังในทุกระดับ ตั้งแต่ร้านยา คลินิกและโรงพยาบาล ห้องปฏิบัติการ ไปจนถึงการกำหนดนโยบายสาธารณสุขระดับชาติ เพื่อควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะ เฝ้าระวังการระบาด และป้องกันการแพร่เชื้อในทุกการเชื่อมต่อของระบบสุขภาพ

· ร้านยาและเภสัชกรชุมชน เป็นด่านหน้าที่ใกล้ชิดประชาชนที่สุด จึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล โดยเภสัชกรร้านยาควรเสริมสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนให้เข้าใจถึงอันตรายของเชื้อดื้อยา ให้คำแนะนำในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง คัดกรองอาการเบื้องต้นของผู้ป่วย แนะนำการดูแลตนเองที่เหมาะสม และส่งต่อให้พบแพทย์เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่มีความสำคัญสูงทางการแพทย์ (CIA)

· สถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน ทุกสถานพยาบาลควรมีนโยบายส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบและสมเหตุผลพร้อมตัวชี้วัดเพื่อลดการใช้เกินจำเป็น และมีระบบติดตาม รวมถึงการให้ข้อมูลย้อนกลับ โดยดำเนินงานแบบบูรณาการตามแนวทาง Antibiotic Stewardship Program (ASP) ที่มุ้งเน้นให้เลือกใช้ยาได้ถูกชนิด ถูกขนาด ถูกระยะเวลา และถูกวิธีการ ควบคู่กับการป้องกันการติดเชื้อในสถานพยาบาลอย่างเข้มงวด ตั้งแต่การคัดแยกผู้ป่วย การล้างมือและสวมถุงมืออย่างถูกวิธี การทำความสะอาดและฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ไปจนถึงการป้องกันการติดเชื้อจากหัตถการทางการแพทย์ต่าง ๆ

· ระบบสาธารณสุข วางมาตรฐานและกลไกแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยาอย่างเป็นระบบ โดยกำหนดแนวปฏิบัติในการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ พร้อมส่งเสริมให้มีการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการตามความเหมาะสมก่อนใช้ยา

· ระดับนโยบาย เดินหน้าขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการดื้อยาต้านจุลชีพ พ.ศ. 2566-2570 ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมทั้งการใช้ยาในคนและสัตว์ การเฝ้าระวังเชื้อดื้อยา การวิจัยพัฒนายาและวัคซีนใหม่ ตลอดจนการสื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง โดยภาครัฐควรเสริมพลังความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกและนานาประเทศ พร้อมสร้างกลไกสนับสนุนด้านกฎหมาย งบประมาณ และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาต้องเร่งปรับสถานะยาปฏิชีวนะกลุ่มที่มีความสำคัญสูง (CIA) ให้เป็นยาควบคุมพิเศษ เพื่อหยุดการขายยาเหล่านี้โดยไม่มีใบสั่งแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อรักษายาสำคัญเหล่านี้ไว้ใช้ในกรณีที่จำเป็นทางการแพทย์อย่างแท้จริงเท่านั้น นอกจากนี้ ควรมีการประกาศให้เชื้อดื้อยาเป็น “วาระแห่งชาติ” เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

เชื้อดื้อยาเป็นภัยร้ายแรง ที่กำลังคุกคามสุขภาพของมนุษย์ทั่วโลก หากปล่อยไว้โดยไม่เร่งแก้ไขจะยากที่จะรับมือ แต่เราทุกคนสามารถช่วยป้องกันและชะลอการแพร่กระจายได้ หากทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ ทั้งประชาชน แพทย์ เภสัชกรร้านยา บุคลากรสาธารณสุข ไปจนถึงผู้กำหนดนโยบาย เมื่อทุกคนเห็นความสำคัญและร่วมกันดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล เราจะช่วยกันลดจำนวนผู้ป่วยลดการเสียชีวิต และช่วยชีวิตคนไทยได้อีกเป็นจำนวนมากในแต่ละปี ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องก้าวเดินไปพร้อมกัน เพื่อให้ “ยาที่มีอยู่ ยังคงรักษาเราได้ ทั้งในวันนี้ และวันข้างหน้าของลูกหลานเรา”

บทความแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง