6 เหตุผล ที่ทำให้รู้สึกเหมือนเหนื่อยตลอดเวลา – ยังไม่ทำอะไรก็เพลียไปหมด ลองสำรวจ

ตื่นเช้าขึ้นมายังไม่ทันได้ทำอะไรก็รู้สึกร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรงจะทำอะไรซะแล้ว แถมยังรู้สึกเหนื่อยล้าตลอดทั้งวันทั้งๆ ที่เมื่อคืนก็นอนเต็มอิ่ม มันเกิดจากสาเหตุอะไรกันนะ

6 เหตุผล ที่ทำให้รู้สึกเหมือนเหนื่อยตลอดเวลา

1. คุณไม่ได้ดื่มน้ำเพียงพอ (ต่อวัน/ต่อร่างกาย)

เรื่องเล็กน้อยที่คุณมักมองข้ามและคิดว่ามันคงไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยดื่มทดแทนก็ได้ แต่คุณรู้ไหมว่าถ้าในหนึ่งวันร่างกายขาดน้ำเป็นปริมาณมาก จะทำให้เลือดไหลเวียนช้าลงและมีความเข้มข้นมากขึ้น เพราะฉะนั้นที่คุณรู้สึกเหนื่อยเพลียเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดกระจายตัวได้ไม่เต็มที่ (ประสิทธิภาพ) หัวใจสูบฉีดเลือดทำงานได้ไม่เต็มร้อยนั่นเอง รวมทั้งความเร็วที่ออกซิเจน และสารอาหารจะเข้าถึงกล้ามเนื้อและอวัยวะส่วนต่างๆ ก็ลดลงไปด้วย

ทางที่ดีในหนึ่งวันคุณควรดื่มน้ำ 8-10 แก้วต่อวัน ไม่เพียงแต่ทำให้เลือดเจือจางและไหลเวียนดีขึ้น แต่ผิวพรรณจะแลดูสุขภาพดี ดูสดใส เปล่งปลั่งขึ้นด้วย

2. คุณบริโภคธาตุเหล็กน้อยเกินไป

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย เพลียง่าย และอาจทำให้คุณรู้สึกขี้เกียจ โมโหง่าย อ่อนแอ ป่วยง่าย และมีอาการไม่สามารถโฟกัสอะไรได้เป็นเวลานานๆ ร่วมตามไปด้วย เนื่องจากออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและเซลล์ต่างๆ ไม่เพียงพอ ขอแนะนำว่าคุณควรบริโภคธาตุเหล็กอย่างน้อย 1 ใน 4 ของอาหารที่คุณทานต่อวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายคุณมีพลังในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น ช่วยคิดและจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น ต่อต้านการเจ็บป่วยและลดความเสี่ยงของภาวะโลหิตจาง!

ธาตุเหล็กมักพบอยู่ในอาหารจำพวก เนื้อ (ไม่ติดมัน), ไข่แดง, ผลิตภัณฑ์จากธัญพืช, ข้าวโอ๊ต, หน่อไม้ฝรั่ง, ถั่วฝักยาว, ผักแว่น, เห็ดฟาง, พริกหวาน, ใบแมงลัก, ใบกะเพราะ, ถั่วขนาดเล็ก, เต้าหู้, ไข่ไก่, ผักที่เต็มไปด้วยใบสีเขียวเข้ม, ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ และเนยถั่ว

3. คุณไม่ได้รับประทานอาหารเช้า และทานแต่อาหารฟาสต์ฟู๊ด

คุณรู้หรือไม่ว่าอาหารขยะที่คุณมักทานตอนเช้าเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย เพลียตลอดทั้งวันและทำให้คุณอ้วนขึ้นไม่รู้ตัว เนื่องจากอาหารเหล่านั้นไม่ได้ให้โปรตีน ไขมัน วิตามินต่างๆ ที่ให้พลังงานคุณ แต่กับให้น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตจำนวนมากที่เป็นตัวเร่งให้ให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ทางที่ดีคุณควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ (เพื่อไม่ให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาภายหลัง)

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาทานอาหารเช้าโดยลดน้ำตาลและแป้ง แต่เสริมด้วยโปรตีนจากโฮลเกรนและนมสดเข้าไปแทนในทุกมื้อ ทำให้เป็นกิจวัตร เพื่อสุขภาพและระบบการทำงานภายในร่างกายที่ดีขึ้น… น่าจะเวิร์กกว่านะ อีกหลากหลายทางเลือกที่ให้พลังงานแถมโปรตีนเพียบ คุณสามารถทานข้าวสีน้ำตาล, แซลมอน, มันฝรั่งหวาน, สลัดไก่, สลัดผลไม้ และทานไก่ได้ (แต่ต้องเอาไปอบเท่านั้นนะ ห้ามทอดเด็ดขาดเพราะน้ำมันนี่แหละตัวดีเลย)

4. งานที่ยุ่งเหยิง รัดตัว ทำงานจนไม่ได้พักผ่อน

แบ่งเวลาจากการทำงานมาขาร์ตพลังงานให้กับร่างกายบ้างนะ เพราะไม่อย่างนั้นร่างกายจะรู้สึกเพลีย เหนื่อยง่ายและอาจน็อกเอาต์ไปซะดื้อๆ ยิ่งถ้าโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยงานวางกองจนล้น อาจทำให้คุณเหนื่อยใจและเสียสุขภาพจิตเอาได้ง่ายๆ อย่าทำงานจนเกินขีดจำกัดความสามารถคุณและให้เวลาพักผ่อนกับตัวเองบ้าง

เพราะการพักผ่อนอย่างเต็มที่จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้สมองปลอดโปร่งและปลดปล่อยพร้อมสำหรับการเริ่มต้นใหม่ หาวันว่างๆ พักผ่อนสมอง ปล่อยใจและกายให้โล่งบ้าง หยุดคิดเรื่องปวดหัวอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้งก็ยังดีนะ หรือถ้างานรัดตัวจริงๆ ก็แบ่งเคลียร์งานวันนั้นให้เสร็จ แล้วกลับมาพักผ่อนต่อที่บ้าน รีแล็กซ์สบายๆ

5. คุณดื่มไวน์ หรือแอลกอฮอล์ 1-2 แก้ว ก่อนนอน

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดูเหมือนเป็นหนทางที่ดีที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายก่อนการนอนหลับและทำให้คุณหลับได้เร็วขึ้น แต่จริงๆ แล้วมันส่งผลตรงข้ามกับที่คุณคิดไว้เลย เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้การทำงานของระบบประสาทส่วนกลางลดลงให้ผลเหมือนยาระงับประสาท และส่งผลผลสะท้อนกลับทำให้อะดรีนาลีนในร่างกายสูบฉีดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหลังจากคุณดื่มไปแล้วคุณถึงรู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา

ทางที่ดีเพื่อการนอนหลับที่สบายและยาวนาน คุณควรหยุดดื่มแอลกฮอล์ทั้งหมด(ทุกชนิด) 3-4 ชั่วโมงก่อนนอน

6. การเล่นอุปกรณ์/เทคโนโลยีก่อนนอน

ถ้าเมื่อคืนคุณเล่นอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีต่างๆ ก่อนนอน ก็เป็นไปได้ว่าพอตื่นเช้าขึ้นมาคุณจะรู้สึกเพลียเหมือนนอนได้ไม่เต็มอิ่ม เนื่องจากไฟที่สว่างจ้าออกมาจากหน้าจอแท็บเล็ต สมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ของคุณ ทำให้นาฬิกาชีวิตและระบบการทำงานในร่างกายคุณหันเหทำงานไม่ปกติ ร่างกายไม่สามารถควบคุมฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยให้การนอนหลับเป็นปกติและตื่นอย่างเป็นระบบได้ จึงทำให้คุณรู้สึกง่วงและเพลียหลังจากตื่นขึ้นมา ถ้าคุณอยากนอนเต็มอิ่ม พรุ่งนี้เช้าตื่นมาสดใส กระปรี้กระเปร่า เพียงแค่คุณปิดเทคโนโลยีสื่อสารทั้งหมดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง ก็ช่วยได้เยอะแล้วล่ะ

แต่ถ้าคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะเล่นอุปกรณ์เทคโนโลยีของคุณได้ ก็ให้ถือห่างจากหน้าและสายตาอย่างน้อย 14 นิ้ว และเล่นในที่มีแสงสว่างเพียงพอ อย่า! ปิดไฟเล่นเด็ดขาด เพราะดวงตาของคุณจะรับแสงจากหน้าจอมากเกินไป ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเพลียเมื่อตื่นนอนแล้ว ยังทำให้คุณสายตาเสียอีกด้วย(อาจสายตาสั้นลง)

บทความแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง