ผู้สูงวัย ผู้ใหญ่ โรงพยาบาลกรุงเทพ

ซ้อมล้ม ฝึกลุก – ชวนผู้สูงวัยฝึกล้มฝึกลุกให้ปลอดภัย ลดความรุนแรงการบาดเจ็บ

Home / สุขภาพทั่วไป / ซ้อมล้ม ฝึกลุก – ชวนผู้สูงวัยฝึกล้มฝึกลุกให้ปลอดภัย ลดความรุนแรงการบาดเจ็บ

เนื่องในวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ รพ.กรุงเทพ ขอร่วมรณรงค์ในการดูแลผู้สูงอายุ ให้มีสุขภาพดีตามวัย และเมื่ออายุเพิ่มขึ้นจะเกิดโอกาสในการเกิดพลัดตกหกล้มได้ง่าย โดยอัตราการเสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้มของผู้ที่อยู่ในช่วงวัยซิลเวอร์ หรืออายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป มีแนวโน้นที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ การประเมินความเสี่ยงเพื่อเตรียมตัวฝึกล้มและลุกจึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะช่วยลดความรุนแรงจากการล้มที่อาจเกิดขึ้นได้

ซ้อมล้ม ฝึกลุก

รุ่นใหญ่วัยซิลเวอร์ ล้มได้ ก็ลุกได้

นพ.เอกกิตติ์ สุรการ ผู้อำนวยการศูนย์อุบัติเหตุ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้สูงอายุบาดเจ็บจากการล้ม เมื่อทำกิจกรรมในบ้านมากขึ้น สถิติของผู้มารับบริการที่แผนกฉุกเฉินและแผนกอุบัติเหตุ พบว่ามีผู้ป่วยที่ต้องรับไว้นอนในโรงพยาบาลจากการล้มกว่าครึ่งหนึ่ง โดย 1 ใน 3 ของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอายุมากกว่า 65 ปี การบาดเจ็บที่พบบ่อยคือ การหักของกระดูกสะโพก การทรุดลงของกระดูกสันหลังเมื่อล้มกระแทก มีการบาดเจ็บที่สำคัญและเป็นอันตรายถึงชีวิต ได้แก่ กระดูกคอหัก และการบาดเจ็บต่อศีรษะและสมอง

การให้ผู้สูงอายุซ้อมล้มและฝึกลุกเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย เพราะหากผู้สูงอายุได้รับการฝึกอยู่เป็นประจำ จะช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บ ที่จะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้ โดยการล้มที่ทำให้บาดเจ็บอย่างรุนแรง มี 2 ลักษณะคือ ล้มศีรษะฟาดกับล้มทั้งยืน ความสำคัญที่จะลดความรุนแรงได้ มี 2 ขั้นตอน คือ

1) เมื่อจะล้มให้พยายามย่อตัวลงในท่านั่ง ขั้นตอนนี้จะช่วยลดแรงกระแทกที่เกิดกับลำตัวและกระดูก

2) ใช้แขนและมือป้องกันศีรษะและลำคอ ในขั้นตอนนี้จะช่วยลดแรงกระแทกที่เกิดกับสมองและกระดูกต้นคอได้ ถ้ากำลังรู้สึกว่าจะหงายหลัง หรือมีอาการเซล้มให้พยายามย่อตัว เก็บคอ คางชิดอก หลังมือประคองด้านหลังศีรษะ และกางขา พยายามให้ด้านข้างของลำตัวกลิ้งลงกับพื้น เพื่อกระจายแรงกระแทก ท่านี้จะช่วยลดแรงกระแทกต่อศีรษะและกระดูกคอได้ แต่หากรู้สึกว่าจะล้มหน้าคว่ำ ให้ใช้ท่า “ขายั้งตั้งคอ งอแขน” โดยพยายามยั้งตัวและย่อขาลงพื้น แขนสองข้างงอเข้าหาตัว ใช้ท่อนแขนส่วนหน้าและฝ่ามือเป็นส่วนรับน้ำหนัก เกร็งคอไม่ให้หน้ากระแทกพื้น ท่านี้จะลดความรุนแรงของการบาดเจ็บที่ศีรษะ สมอง และกระดูกคอ

การฝึกลุก – อุปกรณ์ที่ควรมี

การฝึกลุก ให้หาเบาะออกกำลังกายที่รองรับน้ำหนักผู้สูงวัยได้ทั้งตัว มาให้ฝึกซ้อม แต่สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ เมื่อล้มแล้วต้องสำรวจว่ามีการบาดเจ็บส่วนสำคัญ หรือการบาดเจ็บของข้อต่อหรือไม่ หากไม่ปวดศีรษะ ไม่ปวดคอ ขยับแขนหรือขยับขาได้ไม่อ่อนกำลังจึงค่อยๆ ลุก แต่หากรู้สึกเจ็บมากไม่ว่าบริเวณใด หรือรู้สึกว่าแขน-ขาอ่อนแรงอย่าฝืน ให้รีบขอความช่วยเหลือ นอนหงาย ยกขาขึ้นมาสองข้าง ถ้าจะลุกด้านไหนให้เหยียดแขน หมุนให้ขาและลำตัวตะแคงตัวไปด้านนั้น

ยกตัวอย่างเช่น

การลุกด้านขวาให้เหยียดแขนขวา จากนั้นค่อยๆ หมุนตะแคงตัวไปทางด้านขวา ใช้ข้อศอกขวาดันพื้นเพื่อยกลำตัวขึ้น ใช้แขนซ้ายยันพื้นประคอง ค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นมาโดยใช้แรงจากต้นแขนขวา ไม่ต้องใช้มือหรือข้อมือที่บาดเจ็บ ช่วงที่จะยืนให้สังเกตตนเองว่ามีอาการมึนศีรษะหรือไม่ หากมึนมากจนลุกไม่ไหวให้ลงไปนอนรอคนมาช่วย

แต่ถ้าลุกไหวให้คลานไปหาหลักยึดเพื่อทรงตัว ถ้าร่างกายมั่นคงให้ค่อยๆ ลุกขึ้น แต่ถ้าร่างกายไม่มั่นคง ให้คลานไปหาอุปกรณ์ยึดเหนี่ยวเพื่อช่วยทรงตัวขึ้นยืน เช่น เก้าอี้ที่ไม่มีล้อเลื่อน หรือโต๊ะที่รับน้ำหนักได้แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมให้ล้มคือ พื้นต่างระดับในบ้าน ของวางเกะกะบริเวณที่เดินผ่านประจำ เป็นต้น เพราะฉะนั้นต้องจัดบ้านให้เหมาะกับผู้สูงอายุ ห้องน้ำให้ทำราวจับ พื้นไม่เปียกลื่น โถส้วมควรใช้แบบชักโครก หลีกเลี่ยงการเดินขึ้น-ลง บันได รวมถึงควรมีราวจับทั้งสองข้าง ทางเดินควรเรียบเสมอกัน สิ่งสำคัญกันล้มในผู้สูงวัย คือ เครื่องช่วยเดิน เมื่อเดินไม่มั่นคง เช่น ไม้เท้า ร่มยาว รวมถึงการใส่เสื้อผ้าไม่รุงรัง สวมรองเท้าที่กระชับพอดี

7 การประเมินความเสี่ยงในการล้ม

โดยผู้สูงวัยสามารถประเมินความเสี่ยงในการล้ม ได้ด้วยการสำรวจตนเอง

1) อายุ ยิ่งอายุมากยิ่งมีความเสี่ยงมาก
2) เคยหกล้มหรือบาดเจ็บในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาหรือไม่ หากเคยล้มมีโอกาสล้มซ้ำได้
3) รู้สึกว่าแขนขาไม่ค่อยมีแรงหรือไม่ เพราะอาจเป็นเหตุให้ไม่สามารถจับยึดหรือพยุงตัวเองได้
4) มีปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือไม่ เพราะหากกลั้นไม่อยู่ รีบร้อนไปเข้าห้องน้ำส่งผลให้ล้มได้
5) มีปัญหาการมองเห็นและกะระยะหรือไม่ การมีปัญหาเรื่องการมองเห็นอาจทำให้สะดุดหกล้มหรือตกบันไดได้
6) กลัวการหกล้ม ทำให้ไม่กล้าออกกำลังกายและทำกิจวัตรต่างๆ ยิ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่แข็งแรงได้
7) มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง ที่อาจทำให้หน้ามืดแล้วล้ม โรคเบาหวาน อาจทำให้มีแผลที่เท้าส่งผลให้เดินช้า เดินลำบาก เพิ่มความเสี่ยงในการล้ม เป็นต้น

ลูกหลานหรือผู้ใกล้ชิด ควรหมั่นสังเกตการเคลื่อนไหวของผู้สูงวัยในบ้านว่ามีความผิดปกติหรือเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ ผู้สูงอายุบางคน ล้มแล้วไม่ยอมบอกลูกหลานเพราะกลัวจะเป็นภาระ ซึ่งทุกการล้มของผู้สูงวัยมีโอกาสที่จะสะโพกหัก กระดูกหัก เลือดคั่งในสมองเพราะล้มศีรษะกระแทกพื้น แล้วเกิดการบาดเจ็บภายในโดยที่ลูกหลานไม่ทราบได้ การให้ผู้สูงอายุได้ออกกำลังกายตามวัยเป็นประจำจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและทรงตัวได้มั่นคงยิ่งขึ้น สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์อุบัติเหตุ โรงพยาบาลกรุงเทพ โทร.1719 หรือ แอดไลน์ @bangkokhospital

บทความแนะนำ