โรคเริมที่ปาก ถือได้ว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นได้เนื่องจากการติดเชื้อ อีกทั้งความเครียดยังคงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ที่ทำให้เกิด โรคเริม ได้เช่นเดียวกัน สำหรับผู้ที่เป็นโรคเริมที่ปาก มักจะค้นพบตุ่มแดง ๆ ใส ๆ เกิดขึ้นบริเวณปากบนและปากล่าง อีกทั้งยังคงรู้สึกคัน และมีอาการปวดแสบปวดร้อนตลอดเวลา จนกระทั่งส่งผลทำให้คุณเกิดความรำคาญใจได้ในที่สุด
โรคเริม ที่ปาก เกิดจากอะไร
สาเหตุ โรคเริม
สำหรับ โรคเริม ที่เกิดขึ้นที่ปาก สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดโรคเริมที่ปากนั้น ส่วนใหญ่จะสืบเนื่องมาจากผู้ป่วยมีอาการติดเชื้อไวรัส ซึ่งเชื้อไวรัสที่ว่านี้ อาจจะอยู่ในน้ำลาย น้ำเหลือง หรือแม้กระทั่งอสุจิ ซึ่งเชื้อไวรัสเหล่านี้ จะสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นแผลถลอก หรือผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ อีกทั้งยังสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกและเยื่อบุช่องปากได้อีกด้วย
ปัจจัยที่เร่งให้เกิดโรคเริมบริเวณปาก
สำหรับโรคเริมที่เกิดขึ้นบริเวณปาก เมื่อเป็นแล้วรักษาหายแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นอีกได้ โดยเฉพาะถ้าหากผู้ป่วยเกิดอาการเครียดอย่างเป็นประจำ มีลักษณะนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ จนกระทั่งส่งผลทำให้สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง และระบบภูมิคุ้มกันต่ำลง โรคเริม ก็จะกลับมาทำร้ายคุณแบบซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าได้อย่างต่อเนื่อง
อาการของเริม
โดยรวมแล้วอาการของเริมที่ปาก และเริมที่อวัยวะเพศนั้น ค่อนข้างคล้ายกัน โดยจะมีตุ่มน้ำใสบริเวณที่ติดเชื้อ ได้แก่ ปาก อวัยวะเพศ ทวารหนัก บั้นท้าย หรือต้นขา มีอาการเจ็บปวด แสบที่บริเวณแผล หากเป็นการติดเชื้อครั้งแรกจะมีอาการค่อนข้างรุนแรงและหายช้า แต่ถ้าหากเป็นการติดเชื้อซ้ำ อาการจะไม่รุนแรงและหายได้เร็วกว่า
การติดต่อของโรค
สำหรับโรคเริมที่เกิดขึ้นบริเวณปาก นับได้ว่าเป็นโรคชนิดหนึ่งที่ สามารถติดต่อกันได้ โดยเฉพาะการติดต่อจะผ่านทางน้ำลาย และน้ำเหลือง ส่วนพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการติดต่อของโรคนี้ ไม่ว่าจะเป็น การดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ใช้ของร่วมกัน หรือแม้กระทั่งการจูบปากกัน เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้ จะส่งผลทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายไปยังคนใกล้ตัวได้
การวินิจฉัยเริม
โรคเริม สามารถวินิจฉัยด้วยการตรวจโดยแพทย์ แต่ถ้าหากแพทย์ไม่แน่ใจว่าใช่อาการของเริมหรือไม่แพทย์ก็อาจจะมีการสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่ม เช่น การตรวจเลือด การเพาะเชื้อ เนื่องจากอาการของเริมนั้นค่อนข้างคล้ายกับโรคอื่น ๆ อาทิ โรคงูสวัด แผลร้อนใน การติดเชื้อแบคทีเรีย
การรักษา โรคติดต่อ เริม
ปัจจุบัน โรคเริม ยังคงเป็นโรคที่ ไม่สามารถรักษาให้หายสนิทได้ ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้วการรักษาโรคเริมจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. การบรรเทาอาการเจ็บปวด โดยแพทย์อาจสั่งยาบรรเทาอาการปวด ซึ่งแผลจากโรคเริมจะสามารถหายเองได้ภายในเวลา 2-6 สัปดาห์ และถ้าหากมีอาการปวดมาก ยังคงสามารถประคบด้วยน้ำเกลือหรือน้ำเย็นที่บริเวณแผล วันละประมาณ 4-5 ครั้ง เพื่อช่วยลดอาการปวดให้ลดลงได้
2. การควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส โดยปกติแล้วเมื่อมีอาการของโรคเริม แพทย์มักจะสั่งใช้ ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) หรือ ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส และช่วยลดความรุนแรงของอาการ โดยยาเหล่านี้จะอยู่ในรูปของยาชนิดรับประทาน นอกจากนี้ ยาที่มีส่วนประกอบของอะไซโคลเวียร์ที่อยู่ในรูปแบบครีมสำหรับทา ก็ยังนิยมนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการของเริมในขณะที่เป็นได้ด้วย
วิธีการป้องกัน เพื่อไม่ให้เป็น โรคเริมที่ปาก
วิธีการป้องกันเริมที่ดีที่สุด ก็คือการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการติดเชื้อทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น
- การใช้ของใช้ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือ
- การสัมผัสกับเชื้อโดยตรงอย่าง การหอมแก้ม การจูบ
- แม้แต่การใช้ลิปสติกร่วมกัน
- หลีกเลี่ยงการทำออรัลเซ็กส์ ถ้าเราไม่มั่นใจว่าเค้าจะปลอดเชื้อจริงๆ
- นอกจากนี้การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยด้วยการใช้ถุงยางอนามัยก็สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้
สำหรับผู้ป่วยที่เคยมีการติดเชื้อมาก่อนแล้ว ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเนื่องจากเชื้อไวรัสจะโจมตีร่างกายเมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ถ้าหากมีสุขภาพที่แข็งแรงก็จะช่วยให้การติดเชื้อลดลงได้
ขอบคุณข้อมูลจาก pobpad.com และ honestdocs.co
Write by TuTee
บทความแนะนำ
- เจาะลึก! ช่วงเวลา การเดิน ในแต่ละนาที จะเกิดอะไรกับร่างกายบ้าง?
- ออกกำลังกายให้ต้นขากระชับ ก้นงามงอน ด้วยท่า สควอช (Squat)
- 10 ท่าทะลายพุง ออกกำลังกาย บอกลาไขมันหน้าท้อง
- 6 การออกกำลังกายแบบ Anti-Aging ที่จะทำให้คุณกลายเป็นคนใหม่ อ่อนวัยลงกว่าเดิม
- อย่ามักง่ายไม่งั้น โรคซิฟิลิส จะถามหา! แค่ใส่ถุงยางมันคงไม่ยากไปนะ