อาการ “ชา” คงเป็นอาการหนึ่งที่หลายคนนั้นอาจเคยประสบอยู่ มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าคงเป็นอาการทั่วไปไม่ได้หนักหนาสาหัส จึงละเลยไม่ใส่ใจที่จะไปตรวจหาข้อเท็จจริง ซึ่งอาการชาเป็นอาการสำคัญที่เป็นสัญญาณของการผิดปกติของร่างกาย ควรรีบเข้ารับการรักษา ก่อนที่จะมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา
อาการ ชา ตรงไหนที่น่าห่วง
อาการชา (Numbness) คือ อาการที่เนื้อเยื่อรับความรู้สึกต่างๆ ได้ลดลงโดยเฉพาะอาการ เจ็บและการสัมผัส อาการชาเกิดได้กับเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย แต่มักเกิดกับนิ้วมือ นิ้วเท้า มือ เท้า แขน
อาการชา เกิดจากมีการบาดเจ็บของเส้นประสาท ไขสันหลัง และ/หรือสมอง ในส่วนที่รับ รู้ความรู้สึกนั้นๆ ซึ่งมีสาเหตุได้หลายสาเหตุที่พบบ่อยเช่น
- ปลายประสาทอักเสบ/โรคเส้นประสาท (เช่น ในโรคเบาหวาน)
- การถูกกดทับของเส้นประสาท
- โรคปวดหลังจากหมอนรองกระดูก
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคหลอดเลือดแดงแข็ง
- ภาวะร่างกายเสียสมดุลของเกลือแร่
- ร่างกายขาดวิตามินบางชนิดโดยเฉพาะวิตามิน บี 2
- ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
- ดื่มสุราเรื้อรัง
- ติดบุหรี่
- การได้รับสารพิษต่างๆเช่น แพ้อาหาร การแพ้ยาบางชนิด
- แมลงบางชนิดกัด/ต่อย
- การได้รับโลหะหนักในปริมาณสูงจากอาหารและน้ำดื่มเช่น ตะกั่ว
เมื่อเกิดอาการ “ชา” แขน ขา และ/หรือใบหน้า ร่วมกับมีกล้ามเนื้อในส่วนนั้นๆอ่อนแรงควร รีบไปโรงพยาบาลให้ด่วนที่สุด เพราะเป็นสัญญาณร้ายที่บ่งบอกว่าเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมอง อาจส่งผลให้เกิดการเป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาตได้
แนวทางการรักษาและป้องกัน
- กำจัดจากสาเหตุ เช่น
- หากเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับควรลดหรือเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทเป็นเวลานาน โดยพยายามไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานจนเกินไป
- ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานควรรักษาระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่าปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่องนานๆ
- การรักษาด้วยยา
นอกจากจะต้องรับประทานยาสำหรับโรคประจำตัวของผู้ป่วยแต่ละรายแล้ว อาจมีการใช้ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์, ยาแก้ปวดในกรณีที่มีอาการปวด และควรรับประทานวิตามิน เช่น มีโคบาลามินในขนาดสำหรับการรักษาเพื่อส่งเสริมในกระบวนการซ่อมแซมเส้นประสาทบรรเทาอาการชาและอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- การผ่าตัด ในกรณีที่มีอาการรุนแรง
- การทำกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
ซึ่งเมื่อเราทราบแบบนี้แล้วเราต้องรู้จักดูแลตนเอง สังเกตอาการของโรค ลดพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรค เพื่อที่จะได้ป้องกันและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที
ขอบคุณข้อมูลจาก haamor.com , www.anyapedia.com , www.thairath.co.th , https://www.facebook.com/qvitzvitamin