ปัญหา ฝุ่นพิษ “พีเอ็ม 2.5” ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพภายในร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อใบหน้าและผิวพรรณบริเวณที่ไม่ได้ป้องกันอีกด้วย แม้จะสวมใส่หน้ากากอนามัยแต่ก็ไม่สามารถป้องกันฝุ่นพิษได้ทั่วใบหน้า ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาใหญ่ของคนเป็นสิว เพราะฝุ่นละอองขนาดเล็ก ถือเป็นคู่ปรับตัวร้ายสำหรับผิวหน้า เนื่องจากละอองฝุ่นมีขนาดเล็กจึงสามารถเข้าไปสะสมในรูขุมขนบนใบหน้า ก่อให้เกิดภาวะอุดตันของสิ่งสกปรก จน “หน้าสวยๆ” กลาย เป็น “หน้าสิว” ง่ายกว่าภาวะปกติ
วิธีรักษาสิว พิชิตหน้าพัง หลังเผชิญกับ ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5
โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายอาจก่อให้เกิดสิวเห่อและผดผื่นคันทั่วใบหน้า จนขาดความมั่นใจ จึงรีบรุดหาวิธีรักษาสิวจนลืมคำนึงถึงผลข้างเคียง บทความนี้ได้สรุปการรักษาสิวด้วยยาชนิดต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ที่มีปัญหาสิวได้รู้ทันยารักษาสิวและผลข้างเคียง เพื่อจะได้ระวังตัวในการใช้ชีวิตประจำวันและดูแลผิวเป็นสิวได้อย่างถูกวิธี
เรื่องน่ารู้ชั้นผิวหนัง กับปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5
ดร.ภญ.จิรวรรณ โอพรสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.เอ.เดอร์มาเทค จำกัด ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดสิวว่า “ในชั้นผิวหนังมีรูขุมขน ต่อมไขมัน และต่อมเหงื่อเพื่อระบายของเสียทั่วใบหน้า เมื่อรูขุมขนเผชิญกับมลภาวะและฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่นำพาสิ่งปรกอื่น ๆ มาด้วย จึงก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขนได้ง่าย ทำให้ต่อมไขมันอุดตันจนน้ำมันในรูขุมขุนไม่สามารถระบายออกมาได้ สะสมเกิดเป็นคอมีโดนและกลายเป็นสิวอุดตัน และอาจถูกรบกวนซ้ำจากเชื้อแบคทีเรีย P.acnes จนกลายเป็นสิวอักเสบ อีกทั้งฝุ่นพิษ PM 2.5 ยังนำพาสารเคมีและสิ่งสกปรกมากมายสู่ผิวอีกด้วย จึงกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้มีผดผื่นคัน และสิวเห่อได้ง่าย”
ระดับความรุนแรงของปัญหาสิว
สำหรับ ผู้ที่เป็นสิวจากการแพ้ฝุ่นละอองขนาดเล็กสามารถจำแนกระดับความรุนแรงของปัญหาสิวได้หลายแบบในที่นี้จะแบ่งความรุนแรงเป็น 3 ระดับด้วยกัน คือ
1. ปัญหาสิวเล็กน้อย มีหัวสิวอุดตันเป็นส่วนใหญ่ หรือมีสิวอักเสบร่วมด้วยไม่เกิน 10 จุด สามารถรักษาสิวโดยใช้ยาทารักษาสิวเพื่อเปิดหัวสิวและลดการอุดตันของรูขุมขน
2. ปัญหาสิวปานกลาง มีสิวผดและสิวอักเสบจำนวนมากกว่า 10 จุด รักษาโดยการ ให้ยาทาและยารับประทานร่วมกันเพื่อลดการอักเสบของสิวและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes
3. ปัญหาสิวรุนแรง มีสิวผดและสิวอักเสบ หรือมีการอักเสบของสิวนานและกลับมาเป็นซ้ำมีจำนวนมากกว่า 10 จุด ซึ่งในกรณีที่เป็นสิวขั้นรุนแรงแพทย์จะให้ทานยาเพื่อลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หลังจากปัญหาสิวทุเลาลง แพทย์จะลดปริมาณยารับประทานและให้ใช้ยาทาร่วมด้วยเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นสิวซ้ำ
ดร.ภญ.จิรวรรณ โอพรสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.เอ.เดอร์มาเทค จำกัด
การรักษาสิวแบ่งออกเป็น ดังนี้
โดยการรักษาสิวด้วยยาสามารถแยกย่อยเป็น 3ประเภท คือ
1. การรักษาสิวโดยใช้สเตียรอยด์
อาจมีบางคลินิกที่ใช้สเตียรอยด์ในการรักษาสิว เพื่อให้สิวยุบอย่างรวดเร็ว โดยสเตียรอยด์จะเข้าไปกดภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำงาน เพื่อลดการเกิดสิวอักเสบ แต่ผลการรักษาชนิดนี้ ไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย P.acnes จึงทำให้เชื้อแบคทีเรียยังคงอยู่บนใบหน้า และเมื่อหยุดการรักษาด้วยสเตียรอยด์ จึงกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบเห่อเต็มหน้า ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาสิวสเตียรอยด์ต้องหมั่นดูแลผิวหน้าให้สะอาด เพื่อช่วยลดเชื้อแบคทีเรียบนใบหน้า และลดโอกาสในการเกิดสิวเห่อหลังจากลดปริมาณสเตียรอยด์ การรักษาแบบนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
2. การรักษาสิวด้วยยาปฏิชีวนะ
เป็นวิธีรักษาด้วยการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย มีทั้งชนิดกินและชนิดทา เช่น Clindamycin , Erythomycin เป็นต้น ซึ่งยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ อย่างไรก็ตามยากลุ่มนี้ อาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยาหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้การรักษาไม่ได้ผล รวมถึงยังทำให้ร่างกายสัมผัสกับยาปฏิชีวนะนาน ๆ โดยไม่จำเป็น ซึ่งทำให้เกิดการเสียสมดุลย์ของเชื้อที่อยู่บนผิว อาจกลายเป็นการติดเชื้ออื่น ๆ แทนเชื้อแบคทีเรีย จึงต้องเปลี่ยนวิธีการรักษาเป็นวิธีอื่นแทน
3. การรักษาสิวด้วยยากลุ่มอื่น ๆ
เช่น “อนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ” จะทำหน้าที่ยับยั้งสาเหตุของ การเกิดสิว เช่น กดการทำงานของต่อมไขมันทำให้ผลิตสารที่เป็นไขมัน (sebum) ลดลง ลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) ลดการอักเสบของสิว และยับยั้งการสร้างคอมีโดน (comedone) แต่จะมีผลข้างเคียงเรื่องการระคายเคือง หน้าแห้ง ผิวอาจจะไวต่อแสง และที่สำคัญคือมีข้อห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ เนื่องจากยาชนิดนี้มีรายงานว่าสามารถก่อให้เกิดความพิการต่อทารกในครรภ์ได้
หรือ รักษาสิวด้วย “ยาประเภทฮอร์โมน” ใช้เป็นทางเลือกสำหรับผู้หญิงที่เป็นสิวระดับปานกลาง หรือ รุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน หรือมีอาการแสดงความผิดปกติของระบบไร้ท่อ ใช้เมื่อแพทย์แนะนำ ส่วนอาการข้างเคียง อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลง เจ็บคัดตึงเต้านม มีปฏิกิริยาทางผิวหนัง มีผลกับประจำเดือน เป็นต้น
เคล็ดลับการรักษาสิวอย่างถูกวิธี
อย่างไรก็ตาม การรักษาสิวด้วยยาแม้ในระยะแรกสิวจะลดลงและหายไปจนเห็นได้ชัด แต่ผู้มีปัญหาสิวที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยยาต้องหมั่นดูแลผิวหน้าให้สะอาด และปรับสมดุลให้ผิวหน้ากลับมาแข็งแรงอีกครั้ง เนื่องจากการใช้ยาเป็นเวลานานจะทำให้โครงสร้างเซลล์ผิวอ่อนแอ จึงเปิดโอกาสให้เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้ามารุกรานในชั้นผิวหนังได้ง่าย ทำให้เกิดเป็นวงจรสิวอักเสบวนเวียนไม่หยุด และควรใช้ยาตามแพทย์สั่งหรือเภสัชกรเป็นผู้จัดยาให้ เพื่อลดความเสี่ยงในการใช้ยาและผลข้างเคียง
ดร.ภญ.จิรวรรณ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การดูแลผิวเป็นสิวของวัยรุ่นที่ดีที่สุดคือ การดูแลผิวทั้งใบหน้า เนื่องจากวัยรุ่นมักมีปัญหาสิวทั่วทั้งใบหน้า เมื่อสิวเม็ดหนึ่งหายเม็ดอื่นก็ขึ้นอีก การดูแลผิวหน้าเป็นสิวเฉพาะจุดอาจไม่เพียงพอ นอกจากนี้เรื่องที่ทรมานกว่านั้นคือ เมื่อเป็นสิวแล้วต้องใช้ช่วงเวลาในการดูแลผิวหน้าหลายเดือน และต้องหยุดแต่งหน้าและต้องหยุดใช้เครื่องสำอาง ในขณะที่ผู้เป็นสิวส่วนใหญ่กลับต้องการแต่งหน้าเพื่อปกปิดสิว ซึ่งเป็นข้อห้ามจากแพทย์ที่ต้องการให้พักหน้าและใช้ยารักษาสิวก่อนจนหายดี และสิ่งที่ตามมาคือปัญหาสิวที่ยิ่งลุกลามและเพิ่มปัญหาจุดด่างดำบนใบหน้าจากรอยสิวที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ
ทางทีมวิจัย บริษัท แอล.เอ.เดอร์มาเทค จำกัด จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการดูแลผิวหน้าที่เป็นสิวอย่างถูกวิธี โดยคิดค้น โอลด์ร๊อค แอคเน่ สเปรย์ (Old Rock Acne Spray) สเปรย์บำรุงผิวหน้าสำหรับผิวเป็นสิว สะดวกกับการใช้ทั่วทั้งใบหน้า ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ ลดสิว ผิวเย็น หน้าไม่มัน” เพื่อตอบโจทย์การดูแลผิวเป็นสิวอย่างแท้จริง
ด้วยส่วนผสมหลักจากธรรมชาติและสารสกัดจากหินน้ำมันฝรั่งเศสที่มีความบริสุทธิ์สูง (NATURAL SHALE OIL) ช่วยลดการเกิดสิวได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวฮอร์โมน สิวสเตียรอยด์ และสิวอื่น ๆ ผ่านการทดสอบการแพ้ระคายเคืองจากแพทย์ผิวหนังแล้ว และที่สำคัญคือไม่มีส่วนผสมของ BHA ซึ่งมีความเป็นกรดสูง จึงอ่อนโยนต่อผิวไม่ทำให้ผิวแห้งลอก ไม่ไวต่อแสง และไม่ทำลายโครงสร้างผิว
นอกจากนั้นยังมีส่วนช่วยลดรอยแดงและอาการคันจากการเป็นสิว ด้วยสูตรที่ถูกคิดค้นมาอย่างดี จึงสามารถใช้ “โอลด์ร๊อค แอคเน่ สเปรย์” ได้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกวัน และแต่งหน้าได้แม้ผิวเป็นสิว สามารถช่วย ลดสิวและผดผื่นจากฝุ่นขนาดจิ๋วในภาวะที่เป็นอากาศเป็นพิษในช่วงนี้ได้” ดร.ภญ. จิรวรรณ โอพรสวัสดิ์ สรุปทิ้งท้าย