บางคนเหงาตอนอยู่คนเดียว บางคนรู้สึกเหงาถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางคนมากมาย หรือบางคนอาจจะเหงาเพราะคิดถึงใครบางคน.. ความเหงาเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใคร และคงไม่มีใครที่ไม่เคยเหงา แต่รู้กันหรือเปล่าว่าความเหงาอันตรายมากกว่าที่คิด เพราะมันอาจทำร้ายสุขภาพของคุณโดยที่ไม่รู้ตัว
ความเหงา อันตรายมากกว่าที่คิด เหงามากไปไม่ดี
ความเหงาส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและงานวิจัยหลายงานวิจัย แสดงให้เห็นว่า ความเหงาอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ นั่นก็คือ
ภาวะซึมเศร้า
แน่นอนว่าคนขี้เหงานั้น มักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีสังคม ไม่ค่อยมีเพื่อน หรือถึงจะมีเพื่อนแต่ก็จะมีปมบางอย่าง มีความคิดบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น ไม่สำคัญกับคนอื่น ส่งผลให้เขาอาจจะแยกตัวออกจากเพื่อนฝูง ครอบครัว และสังคม ทำให้เสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า
อาการเจ็บป่วยแย่ลง
จากการวิจัยพบว่า ความโดดเดี่ยวทางสังคมนั้นอาจมีส่วนทำให้อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่แย่ลง เช่นโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบบางชนิด
ป่วยง่าย ป่วยบ่อย
ความเหงาหรือความโดดเดี่ยวที่สะสมเป็นเวลานาน อาจสัมพันธ์กับฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนแห่งความเครียด ทำให้ยีนที่ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและกระบวนการตอบสนองต่อการอักเสบทำงานได้ไม่เต็มที่ ความเหงาจึงอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแย่ลงได้ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
วิธีรับมือกับความเหงา
– ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่าเหงาเพราะอะไร เพราะอยู่ตัวคนเดียว หรืออยู่กับคนเยอะ ๆ ก็ยังเหงา ถ้าเป็นแบบแรกคงจะรู้กันดีว่าควรทำยังไง แต่ถ้าเป็นแบบหลังก็ขอแนะนำให้หาใครสักคนที่สนิทใจ ไว้คอยพูดคุย ปรึกษาปัญหาชีวิต
– หาสัตว์มาเลี้ยงสักตัว ถ้าคุณมีความพร้อมที่จะดูแลได้อย่างเต็มที่ รับรองว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณเลยล่ะ
– หางานอดิเรกทำ จะอ่านหนังสือ เล่นเกม ฟังเพลง ดูยูทูบ ซีรีส์ เล่นกีฬา หรือจะออกไปเที่ยวคนเดียว เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ก็ช่วยคลายเหงาได้แน่นอน
– อย่าคาดหวังกับคนอื่นมากเกินไป คิดเอาไว้เสมอว่าต่างคนต่างก็มีความคิดและมุมมองที่ต่างกัน บางครั้งคนที่เราคุยด้วยไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือใคร เขาก็อาจจะไม่เข้าใจเราในบางเรื่อง คิดไม่ตรงกับเราในบางเรื่อง และต่างคนต่างก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง เพื่อนอาจจะไม่สามารถมาหาคุณได้ในบางเวลาที่คุณต้องการ ไม่สามารถไปไหนมาไหนกับคุณได้ตลอด และนั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องยอมรับให้ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก: pobpad, webmd
บทความที่เกี่ยวข้อง
